เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ส.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
  
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ วันพระ วันโกน ชาวพุทธเราแสวงหาบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา ถ้าการแสวงหาบุญกุศลเพื่อหัวใจของเรา สมัยโบราณของเรานะ ชาวพุทธเรายิ้มแย้มแจ่มใส มันพออยู่พอกินมีความสุข แต่สมัยปัจจุบันนี้โลกเศรษฐกิจมันเจริญไง ต้องมีการแข่งขันๆ การแข่งขันกันจนเห็นว่าทรัพย์สมบัติเป็นบุญกุศลไง เห็นทรัพย์สมบัติเป็นความจริง

แต่ถ้าเป็นคนที่มีสติมีปัญญานะ มีสติปัญญา สิ่งที่เป็นความจริงๆ คือคุณธรรม คือบุญกุศลในหัวใจของเราไง ถ้ามีบุญกุศลในหัวใจนะ มันไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไป แต่มันต้องทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร เพราะเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง ถ้าทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริงนะ ทุกข์คือการที่ทนอยู่ไม่ได้ แต่เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาที่ว่าทุกข์มันเป็นความจริง แต่ถ้าเอาความทุกข์นั้น เห็นไหม เวลาคนที่มีสติปัญญา คนที่เขามีศรัทธาความเชื่อ เขาพยายามจะมาประพฤติปฏิบัติ คนทางโลกเขาแปลกใจนะ เอ๊! เราเกิดมาเราก็ทุกข์เราก็ยากอยู่แล้ว ยังไปวัดไปวา ไปเดินจงกรม นั่งสมาธิให้มันทุกข์มันยากขึ้นไปอีกทำไม โอ๋ย! มันมีความทุกข์ขึ้นมาอีก แต่ทุกข์อย่างนั้นความทุกข์เพราะเขาพอใจไง เขาเห็นทางออกของเขา เขาเห็นทางออกของเขา 

เวลาคนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเขา เพื่อจะหาหัวใจของเขา ถ้าเขาหาหัวใจของเขาพบ เขาจะมีความสุขของเขา ไอ้เราจะหาความสุขๆ ทางโลก เราแสวงหามาขนาดไหนมันก็ไม่มีความสุขจริงนะ ไม่มีความสุขจริงเพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นเครื่องล่อ ไม่เคยพอ ตะครุบอยู่นั่นน่ะ จะเอาอยู่นั่นน่ะ เอาแล้วเอาเล่า เอาไม่จบไม่สิ้นไง 

เพราะความอยากได้อย่างนั้น เวลามาประพฤติปฏิบัติ เพราะความอยากทำให้ภาวนาไม่ได้ แต่ถ้ามันปล่อยวางแล้ว การปล่อยวางมันเป็นอุเบกขา ความปล่อยวางนี้มันวางเฉยๆ แต่ถ้ามันพุทโธๆ หรือใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นไป มันมีการบริหารจัดการของมัน จิตมันบริกรรมของมัน เวลามันสงบเข้าไป มันไม่ใช่อุเบกขา มันไม่ใช่การปล่อยวางเฉยๆ มันมีรสมีชาติ มันมีความสุขความสงบในตัวของมันเอง เหมือนเราอาบเหงื่อต่างน้ำมา แล้วอาบน้ำอาบท่าแล้วตัวเบาตัวสบาย

นี่ก็เหมือนกัน กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเรามันหมกมุ่นในหัวใจ มันมีแต่ความหมักหมมในใจ แล้วก็วางๆ วางๆ เหมือนกับเช็ดตัวเอา แต่ถ้ามันอาบน้ำแล้วมันชุ่มชื่น นี่ก็เหมือนกัน พุทโธๆ หายใจเข้าและหายใจออกมีสติปัญญารักษาขึ้นไป มันมีคำบริกรรมของมัน มันฟอกหัวใจๆ มันจะมีความสุขของมันไง นี่พระภายใน

วันพระๆ เขามีแต่พระภายนอก พระภายนอกคือพระพุทธรูป เวลามีกิจกรรมกันไป หล่อพระๆ อู๋ย! คนนี่มืดฟ้ามัวดินเลยนะ เพราะมันทำได้ง่ายๆ ไง ถ้าทำได้ง่าย แล้วยิ่งทำนะ ใหญ่ที่สุดในโลก โอ้โฮ! ตื่นตาตื่นใจ พอทำเสร็จแล้วนะ รอบำรุงรักษามันนะ นี่เวลาพระข้างนอก

เวลาพระข้างนอกเวลาทำนะ ศิลปวัฒนธรรมมันก็เป็นเรื่องความดีอันหนึ่งนะ เวลาเราทำบุญกุศลมันเป็นบุญไหม เป็น แต่เป็นบุญแบบโลกๆ ไง เป็นบุญแบบทางโลก ทางโลก ประวัติศาสตร์ ใครก็อยากมีชื่อมีเสียงไว้ ถ้ามีชื่อมีเสียง มีชื่อมีเสียงแล้วมันสุขหรือมันทุกข์ล่ะ มีชื่อมีเสียงแล้วหัวใจมันมีหลักมีเกณฑ์หรือไม่ล่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้รักษาพระภายใน ให้สร้างพระภายใน ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลามันเป็นพุทโธจริงๆ มันเป็นพุทโธในหัวใจนี้

เวลาสร้างพระๆ ขึ้นมา เราต้องหาช่าง หาผู้ที่มีฝีมือมาทำๆ เวลามาทำแล้วถ้าไม่ถูกใจๆ ไม่ถูกใจเราก็ซ่อมบำรุงอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ก็เหมือนกัน ในหัวใจของเราถ้ามีสติมีปัญญา พระภายในๆ เรามาบวชเป็นพระ สมมุติสงฆ์ๆ ไง สมมุติสงฆ์เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเวลาเป็นพระจริงๆ เป็นพระในหัวใจ เวลาทางโลกเขามีโอกาสได้บวช เขาก็บวชหัวใจของเขา ถ้าบวชหัวใจของเขา เขาพยายามประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าเขามีพระภายในขึ้นมา พระภายในมีคุณค่ากว่าพระภายนอกมหาศาล ถ้าเป็นพระภายใน เห็นไหม

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการขึ้นมา เวลาได้ลูกศิษย์ลูกหาขึ้นมา มันไว้วางใจได้ พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ บ่วงที่เป็นโลก ชื่อเสียงศรัทธา เรื่องลาภสักการะต่างๆ นี่บ่วงที่เป็นโลก อยากดังอยากใหญ่ บ่วงที่เป็นโลกทั้งนั้นเลย เรื่องโลกๆ นี่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลก เห็นไหม แล้วพ้นจากบ่วงที่เป็นทิพย์ ทิพย์สมบัติ อยากได้ทิพย์สมบัติ อยากได้มรรคได้ผล หมดสิ้นหมดเลย เวลามันได้เป็นจริงขึ้นมาแล้วพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์

เวลาเป็นโลกและเป็นทิพย์ มันไว้ใจได้ไหม มันวางใจได้ไหม ไอ้นั่นวางใจไม่ได้ ไอ้ของเราเผลอไม่ได้ เผลอแล้วมันเผาตัวมันเองแล้ว เวลาลิงมันดิ้นรนของมัน เห็นไหม หัวใจก็เหมือนกัน บวชมาเป็นพระๆ บวชมาเป็นสมมุติสงฆ์ บวชมาด้วยธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระไหม เป็น แล้วเป็นพระแล้วมีธรรมวินัยด้วย ศีล ๒๒๗ ด้วย แล้วถือศีลในศีล ธุดงควัตรก็เป็นศีลในศีลไง แล้วเวลาทำขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เจ้าหน้าที่ๆ ทำผิดสองเท่าสามเท่าไง

นี่ก็เหมือนกัน เวลาพระเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์ไว้ในพระไตรปิฎกนะ ถ้าภิกษุทุศีล เวลาฉันอาหารของชาวบ้านเขาเหมือนกลืนถ่านแดงๆ ถ่านในเตาไฟ เหมือนกลืนลงไปๆ

เวลาทางโลกเขาเอร็ดอร่อย แต่ถ้าเป็นธรรมวินัย นั่นน่ะเป็นถ่านไฟแดงๆ เชียวนะ เวลาถ่านไฟแดงๆ เวลากลืนลงไปมันลวกคอไหม มันลวกกระเพาะไหม มันทำลายไหม มันทำลายหมดเลย นั่นเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเทศนาว่าการเวลาเตือนสติไง เตือนสติให้พระให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา 

สิ่งที่บวชมาเป็นพระไหม เป็น เหมือนกับทางโลกเขาเวลาหล่อพระๆ นี่พระภายนอก เวลาพระภายนอกเห็นกันนะ อู้ฮู! องค์นั้นสวยองค์นี้สวย เวลาเป็นพระภายในไม่รู้ หลวงตาแก่ๆ ไม่มีใครรู้จัก นั่นน่ะพระดีๆ ทั้งนั้นน่ะ พระที่ดีคือพระปกติ พระธรรมดานี่ไง พระธรรมดาๆ แต่อยู่โดยทรงธรรมทรงวินัย ไอ้พระที่มีชื่อเสียงดังๆ ไอ้ที่เกียรติศัพท์เกียรติคุณนั่นน่ะ เห็นไหม พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ ไอ้นั่นน่ะเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ สรรเสิญเยินยอเรื่องโลกทั้งนั้นน่ะ หัวโขนโลกๆ ทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ถ้าเป็นพระภายในแล้วพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก ไร้สาระ เรื่องโลกๆ นี่ไร้สาระมากนะ แต่พระอยู่ในโลก อยู่ในโลกมันก็มีธรรมวินัยใช่ไหม มีธรรมวินัย เวลาพระอานนท์ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว เวลาพระเราอยู่กับโลก โลกเขาต้องมีเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องญาติพี่น้อง แล้วให้ทำอย่างไร

อย่าได้ยินได้ฟังเลยนั่นแหละดี หันหน้าเข้าป่าไปเลยดีที่สุด

แต่มันจำเป็น เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน มาเยี่ยมมาเยียนกัน

ให้ตั้งสติไว้แล้วค่อยคุยกับเขา ให้ตั้งสติไว้แล้วค่อยเจรจากับเขา แล้วถ้าไม่มีบุคคลที่ ๓ ให้พูดได้ ๖ คำแล้วหนีเลย

นี่ไง ลับหูลับตา เวลาลับหูลับตา ธรรมวินัยมันผิดไปหมด นี่ไง เวลาเราบวชมาเป็นพระ เราอยู่กับโลกเขามันก็มีธรรมวินัย แล้วพระต้องอยู่กับโลก ปลาต้องอยู่กับน้ำ ถ้าน้ำขาดออกซิเจน ปลาก็ตาย 

นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสกหมายถึงประชาชน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นท่านปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์พวกเรานี่แหละ พวกมนุษย์นี่ เทวดา อินทร์ พรหม รื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์แล้วถ้าไม่ให้แสดงธรรม ไม่ให้อยู่ร่วมกัน แล้วมันจะชักนำกันไปอย่างไร เวลาชักนำกันไปมันก็มีธรรมวินัยนี้มาเป็นเครื่องรักษาไว้ รักษาไว้นะ 

หน้าที่ของฆราวาสธรรม ฆราวาสเขามีความสามารถขนาดไหน ทำอย่างไรนั่นเป็นเรื่องของฆราวาส เรื่องของพระ พระมาจากฆราวาส ไม่น่าสงสัยสิ่งใดเลย เพราะเรามาจากฆราวาส ก็เรามาจากมนุษย์ เราก็เคยได้ใช้ได้สอยสิ่งนั้นมา เราได้เสียสละสิ่งนั้นมาเป็นนักพรตมาเป็นนักบวช พอเป็นนักบวช เป็นพระขึ้นมา มันต้องมีธรรมวินัยขึ้นมา มันต้องมีสติมีปัญญาของมัน ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมานี่เป็นนักรบ ถ้านักรบรบกับอะไร รบกับกิเลสของตนไง รบกับความโหยหา รบกับความเรียกร้อง รบกับความต้องการในหัวใจนั่นไง ถ้ามันเรียกร้องโหยหาในหัวใจนั้น ถ้ามีสติปัญญาทำตรงนี้ได้ขึ้นมามันก็มีเกาะกำบัง ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีศีล ศีลคือความปกติของใจไง ใจมันปกติระงับขึ้นมาแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ

เวลาวันพระๆ เวลาสอนโยมเขา สอนโยมเขาให้ฝึกหัดภาวนาๆ พระเราก็ต้องภาวนาให้ได้ก่อน เพราะภาวนาได้แล้ว ถ้ามันมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง พระเราฝึกหัดได้ พระเราสอนเขาได้ ถ้าพระเราไม่มีประสบการณ์ พระเอาอะไรไปสอนเขา เวลาเขาไปพบสิ่งใดเห็นสิ่งใด สิ่งที่เห็นนั้นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง สิ่งที่เห็นนั้นจริงทั้งนั้นน่ะ เพราะอุปทานของคน ความคิดของคน สิ่งที่มันตอกย้ำในใจ ไอ้ความสกปรกโสโครกในหัวใจมันมีอยู่ทั้งนั้นน่ะ พอมีอยู่ทั้งนั้น เวลาไปพบไปเห็นขึ้นมามันพลิกมันแพลง เวลามารมันบิดมันเบือน เวลาบิดเบือนสร้างภาพขึ้นมาต่างๆ เราก็รู้เราก็เห็นทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่เห็นนั้นจริงไหม จริง จริงด้วยวุฒิภาวะ วุฒิภาวะของคนอ่อนแอเห็นแล้วเคลิบเคลิ้ม เวลาเห็นแล้วนะ ไอ้คนที่มีวุฒิภาวะพอเห็นแล้ว ใช่หรือเปล่า จริงหรือเปล่า

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัตินะ เวลานิมิตเกิดขึ้นมา ถ้าอยากรู้ ถามเลย ถามขณะนั้นน่ะ นั่นคืออะไร คำว่า “คำถาม” มันถามเข้าไปที่จิต เพราะจิตระลึกได้ จิตระลึกได้ พอถามปั๊บ ไอ้พระนั่นหายหมด มันอาย แต่เราไม่อย่างนั้น พอเห็นแล้วพุ่งไปเลย สุดยอดๆ สุดยอดนั่นตกหลุมพรางหมด พอตกหลุมพรางมันก็ไปหมด ส่งออกหมด เห็นไหม

นี่ไง ถ้าคนที่มีปัญญานะ ถามขึ้นมาในใจ แต่ถามไม่ได้ ถามยาก เพราะอะไร เพราะเวลามันเห็นแล้วมันไปหมดแล้ว คือความรู้สึกมันไปอยู่ที่ภาพนั้นหมดแล้ว มันระลึกอะไรไม่ได้หรอก แล้วก็พยายามจำตรงนั้นให้ได้  แล้วพอออกมาแล้วก็ไปถามอาจารย์ใช่ไม่ใช่ ใช่ไม่ใช่อยู่นั่นน่ะ นี่ไง ตัวเองก็ปิดหูปิดตามา แล้วเวลาไปถามขึ้นมา ครูบาอาจารย์ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ก็ปิดหูปิดตาตอบ แล้วมันก็บ้าบอคอแตกกันไป

แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา ถามเดี๋ยวนั้น ถ้ามีสติปัญญา ถ้ามีสติ คำว่า “ถาม” มีสติมันจะย้อนถามขึ้นมา จบ ภาพที่เห็นจบแล้ว ภาพที่เห็นเพราะเราไปเห็น จิตนี้ไปเห็นทั้งนั้นน่ะ จิตของเราทั้งนั้นน่ะที่ไปรู้ไปเห็น แล้วเวลาเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะเข้าไปสู่จิตเราไง เราจะเข้าไปสู่จิตมัน แต่ไอ้ความสกปรกโสโครกในหัวใจมันก็ขับดันออกมาไง ความขับดันออกมา กว่าที่จิตสงบมันระงับได้ ถ้ามันสงบระงับได้เป็นสมบัติของเรา นี่สร้างพระภายใน

ไอ้หล่อพระๆ นั่นน่ะมันก็เป็นบุญกุศลส่วนหนึ่ง คำว่า “บุญกุศล” รูปเคารพเป็นสัญลักษณ์ สิ่งต่างๆ ในพระพุทธศาสนามันก็เป็นจริงทั้งนั้นน่ะ เวลาเป็นจริงมันก็เป็นจริงแบบอนุบาลไง เป็นจริงแบบสอนฆราวาสไง เป็นจริงแบบสอนชาวพุทธเราไง ให้เข้ามาใกล้ชิดพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง เวลามีกิจกรรมสิ่งใดต่างๆ เราไปวัดไปวาก็เพื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไง มาวัดมาวามาเพื่อมาทำบุญกุศล เราก็ได้ฟังธรรมๆ ตอกย้ำ ตอกย้ำที่หลวงพ่อพูดแล้วเราไปพิจารณาว่าจริงหรือไม่จริง ก็กาลามสูตรไง อย่าเพิ่งเชื่อเพราะหลวงพ่อพูด หลวงพ่อพูดก็พูดประสบการณ์ ไอ้จริงหรือไม่จริง ไอ้ของเรากิเลสในหัวใจมันก็ปัดออกทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเป็นความจริงปฏิบัติขึ้นมาแล้วมาถามเลย เพราะ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ไง ผู้ที่ปฏิบัติไปแล้ว การสนทนาธรรมเป็นมงคลชีวิตนะ เป็นมงคลอย่างยิ่ง แต่การเป็นมงคลชีวิตมันก็ต้องขวนขวาย ต้องมีการกระทำขึ้นมาให้เป็นประโยชน์ขึ้นมา ถามให้รู้ มันไม่มี

ถามให้รู้ ถามให้รู้ก็คือการเจรจา เจรจากันเท่านั้นน่ะ เพราะมันไม่เข้าสู่จิตหรอก มันคนละชั้นกันเลย ดูสิ ส้ม เปลือกส้ม ไม่แกะเปลือกส้มมันจะกินส้มได้อย่างไร ไอ้นี่อยู่ข้างนอกเลย ล้างเปลือก นู่นเป็นอย่างไร นี่เป็นอย่างไร

นั่นมันเปลือก มันเป็นขี้ดิน มันเป็นสิ่งสกปรกที่ติดที่เปลือกส้ม เอ็งไม่ได้แกะเปลือกส้มเลย เวลาว่านี่คืออะไรๆ ไอ้นั่นมันฝุ่น ฝุ่นที่เกาะเปลือกส้ม เราพุทโธๆ ไปจนปอกเปลือกส้มจนเข้าถึงเนื้อส้ม รสส้มหวานนะ แต่เปลือกส้มขม นี่ก็เหมือนกัน ความทุกข์ความยากในหัวใจ สิ่งที่เป็นความรู้สึกนึกคิดนี่ขมทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้ามันปล่อยวาง มันปล่อยหมดเลย พอมันปล่อยหมดมันก็เป็นตัวของมันเอง พอตัวของมันเอง รสหวาน รสหวานเพราะอะไร โอ้โฮ! มหัศจรรย์ ถ้าใครเป็นจริงๆ นะ ส่วนใหญ่มันไม่จริงไง เปลือกส้มแล้วกำไว้ ว่างๆ ว่างๆ กำไว้อยู่อย่างนั้นน่ะ นั่นน่ะที่ว่ามันเป็นอุเบกขา อุเบกขาคือมันวางเฉยๆ แล้ววางอย่างนั้นโดยธรรมชาติของมัน อย่างเรา เรามีสติยับยั้งก็ได้ มันเป็นสัญญาอารมณ์ตามปกติไง สมาธิไม่เป็นอย่างนี้ สมาธิลึกลับกว่านี้ สมาธิมีคุณประโยชน์มากกว่านี้ สมาธิมันมีความร่มเย็นไง ดูสิ น้ำร้อนน้ำเย็นก็แตกต่างกันแล้ว  หัวใจที่เร่าร้อนกับหัวใจที่สงบเย็นก็แตกต่างกันแล้ว แล้วหัวใจที่เข้าสู่ความสงบมันไม่แตกต่าง มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมาแล้ว ความมหัศจรรย์ของมัน มหัศจรรย์อย่างนี้แล้ว นี่ไง สร้างพระภายใน

วันพระๆ ใช่ เราก็เห็น เราเจอพระที่ไหนเราก็อยากจะยกมือไหว้ทั้งนั้นน่ะ นี่เป็นสัญลักษณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่พูดเพื่อปฏิเสธ ไม่ปฏิเสธเลย เคารพบูชามาก แต่การเคารพบูชามันก็มีหยาบมีละเอียดไง หยาบๆ เราก็เห็นนะ ลูกหลานเราทำอย่างนี้เราก็เห็นดีด้วย ตบมือให้มัน ลูกหลานเราทำดี เราก็ว่าดีทั้งนั้นน่ะ แต่เราจะดีแค่เด็กๆ ใช่ไหม เราไม่โตขึ้นมาหรือ เราไม่พัฒนาขึ้นมาหรือ ถ้าเราพัฒนาขึ้นมาแล้ว เวลาเราไหว้ประเพณีไปกับเขา แต่จริงๆ เราจะเคารพบูชาโดยหัวใจ ไหว้โดยหัวใจเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่ปฏิบัติของเราขึ้นมา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตนะ นี่พระภายใน พระภายในมันสร้างยากกว่าพระภายนอกมหาศาล 

ฉะนั้น เวลาสร้างพระ หล่อพระจะเอาเท่าไรก็ได้ถ้าเราหาเงินได้ จะหล่อสักกี่พันองค์ได้ทั้งนั้นน่ะ จะเอาสวยมหัศจรรย์ขนาดไหนก็ได้ จะประดับเพชรนิลจินดาขนาดไหนก็ได้ แต่เวลาปฏิบัติขึ้นมามันไม่ได้ ไม่เห็นจริงสักที แล้วถ้ามันได้ๆ เห็นไหม เวลาเพชรนิลจินดามันมีมูลค่าทางโลกไหม มี แต่เวลาทำให้มันเกิดขึ้นมาในใจ ศีล สมาธิ ปัญญา มันมีมูลค่าทางธรรม มันตีเป็นราคาไม่ได้เลย

คนที่จะร่ำรวยมั่งมีศรีสุขมีมูลค่าขนาดไหน เวลามันตายไป บุญกุศลมันส่งให้เกิดเป็นเทวดา อินทร์ พรหม แล้วหมดอายุขัยก็เวียนไปอย่างนั้นน่ะ ถ้าคนที่ทำชั่วก็ตกนรกอเวจีไปไง แต่ถ้ามันประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันมีมูลค่าทางธรรมขึ้นมา มันไม่ไปอีกแล้ว มันมีมูลค่าขนาดไหน มันมีมูลค่าเท่ากับ ๓ โลกธาตุ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หัวใจนี้สูงส่งกว่า หัวใจนี้มหัศจรรย์กว่า หัวใจนี้ประเสริฐกว่า มันพ้นไปจาก ๓ โลกธาตุ มูลค่ามันมหาศาล มหาศาลที่โลกนี้ไม่รู้เลย นี่พระภายใน

มีพระภายนอก พระภายใน พระภายนอกเราก็ทำกับเขา มันเป็นประเพณีวัฒนธรรมของชาวพุทธเรา ถ้ามันไม่มีสัญลักษณ์ ไม่มีการแสดงออกเลย พุทธเป็นที่ไหน พุทธนั่งเฉยๆ พุทธเป็นหัวตอหรือ พุทธเขาก็มีประเพณีวัฒนธรรมของเขา ถ้าประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีขึ้นมามันก็เอาจริงเอาจังขึ้นมา 

ฉะนั้น มันถึงว่าต้นไม้มันมีแก่น มีเปลือก มีกระพี้ของมันเป็นเรื่องธรรมดา หัวใจของคนก็เหมือนกัน อำนาจวาสนาของคนก็เหมือนกัน แล้วเจตนาของคนก็เหมือนกัน แตกต่างหลากหลายทั้งนั้น แต่เราจะคิดอย่างไร จะพัฒนาอย่างไร วันพระๆ มาวัด มาวัดมาเพื่อเหตุนี้

เวลาขวนขวายกันมา ขวนขวายกันมาเป็นกิริยา ขวนขวายมาด้วยเจตนา ด้วยความเชื่อ ด้วยความดีงาม แต่ถ้าเวลามันตอกย้ำๆ ขึ้นมา เพื่อแก้ความสงสัย ถ้ามันมีความสงสัยอยู่ ถ้ามันแก้ได้ให้มันผ่องแผ้ว จิตใจผ่องแผ้ว ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมเพื่อหัวใจฉลาด เอาตัวรอดได้ หัวใจที่ฉลาดไม่จมปลักอยู่กับความทุกข์ ไม่จมปลักอยู่กับความรู้สึกนึกคิด ไม่จมปลักอยู่กับสิ่งที่มันบีบคอ นั่นน่ะธรรมะเป็นอย่างนี้ แล้วมันทำที่ไหนล่ะ

ไม่ใช่เสกพ่วงก็หายไง ไปวัด “หลวงพ่อเป่าให้ที” เป่าก็เย็นๆ ลมหลวงพ่อ แต่ใจมันยังร้อนอยู่เลยนะ แต่มันต้องทำขึ้นมาแบบนี้ ทำขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรานะ วันพระ วันพระทำเพื่อประโยชน์กับเรา เพื่อบุญกุศลของเรา ทำคุณงามความดีของเรา จะมากจะน้อย ทำ จะมากจะน้อย หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านี่แหละ หายใจนี่สำคัญที่สุดเลย แล้วถ้ามันมีคำบริกรรม ใช้ปัญญาอบรมสมาธิขึ้นมา แล้วถ้ามีปัญญาอย่างนั้นนะ ไอ้อารมณ์ความรู้สึกต่างๆ มันจะเข้ามาไม่ได้ แล้วสิ่งที่เราทำหน้าที่การงานของเรามันแจ่มแจ้ง มันไม่พลั้งไม่เผลอ เพราะเราเครียด เพราะความคิดเรามันไม่ปลอดโปร่ง ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ

แต่ถ้าข้างในมันสะอาดบริสุทธิ์ มันพอใจนะ อะไรก็ง่ายๆ ทั้งนั้นเลย ทำไมเมื่อก่อนมันคิดไม่ได้ๆ คิดได้เพราะมีสติไง คิดได้เพราะมีสมาธิไง คิดได้เพราะเรามีปัญญาไง แล้วมันจะเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม ทำเพื่อหัวใจดวงนี้ มันจะเจริญรุ่งขึ้นมาในกลางหัวใจนี้ เอวัง